คนไร้บ้าน มีฉายาว่า กาลิเลโอ

หลายวันมานี้ จู่ ๆ ก็นึกถึงคนไร้บ้านหลายคน
ที่วนเวียนผ่านมาในห้วงความคำนึง
ที่บ้านทุ่งหาดใหญ่ ตั้งแต่ยุคอดีตจนทุกวันนี้

คนกินแมว

คนแรกคือ แขกเร่ร่อนบ้า ๆ บอ ๆ
เด็กมักจะล้อเล่นเขวี้ยงหิน ไม้ ใส่
เพื่อให้แขกวิ่งไล่จับเด็กเกเร
แกจับตัวใครได้มักจะแขกหัว
แล้วด่าเป็นภาษาไทย
ตำรวจก็ไม่สนใจติดตาม/รับแจ้งความ
เวลาพ่อแม่เด็กไปร้องเรียนแต่อย่างใด
แต่มีผู้ใหญ่หลายคนคอยห้ามปราบเด็กพิเรน
บางคนว่า แกแกล้งบ้าไม่ให้ตำรวจสนใจ
จับตัวเนรเทศไปต่างประเทศ
นิวาสสถานแกอยู่ที่ตรอกทางลัด
สายสองไปสายสาม
ทุกวันนี้คือ ตึกสันติสุข
แขกคนนี้หายไปก่อนสร้างตึกสันติสุข

มีชาวบ้านเดินผ่านตรอก เห็นแกต้มแมวกิน
เลยเป็นที่โจษขานกันว่า คนกินแมว
ยุคนั้นยังไม่มีกฏหมายทารุณกรรมสัตว์
เพียงแต่ความเชื่อ ฆ่าแมวเหมือนฆ่าเณร
เพราะสมัยก่อนแมวมักจะอยู่ตามวัด
ช่วยเหลือพระภิกษุในการกำจัดหนู
ทึ่มักจะทำลายใบลาน ข้าวของในวัด
ชาวบ้านก็เฉย ๆ เพราะคิดว่าแกบ้าด้วย

ต่อมาแกได้ภริยาสาวเชื้อสายจีน
มีอาการทางประสาทปล้ำ ๆ เป๋อ ๆ
ทั้งคู่ชอบเดินควงแขนกันเหมือนวัยรุ่นจีบกัน
เดินผ่านถนนสายต่าง ๆ ในบ้านทุ่งหาดใหญ่
แบบขอทาน ขอข้าว ขอน้ำ ตามร้านค้าต่าง ๆ
ครอบครัวสตรีคงไม่ใยดีเลยปล่อยเลยตามเลย
ไม่ได้มาติดตามจับตัวกลับบ้านแต่อย่างใด
ทั้งคู่อยู่กันไม่นานนักราวครึ่งปี

คนกินแมวก็ถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง
ในยุคนั้นราวห้าแสนบาท
(ทองบาทละ 2,500 บาท=400 บาท)
แกก็ขอทำเรื่องกลับอินเดียไป
แต่ก็ส่งภริยาไปรักษาตัวที่
โรงพยาบาลประสาทสงขลา
พร้อมกับฝากเงินจำนวนหนึ่งไว้
ก่อนกลับประเทศไปเป็นการอำลา
ส่วนภริยาแกก็ไม่รู้ไปไหนแล้ว
.

.
คนตีลังกากลางถนน

รายนี้รถแท็กซี่ รถขนส่ง รถโดยสารประจำทาง
ด่าแม่ญาติพี่น้องคนจิตบกพร่องรายนี้
ชอบออกมาตีลังกากลางถนนหลวง
แถวก่อนถึงปริก สะเดา หาดใหญ่
ถ้ารถคันไหนไม่ระวังเฉี่ยวชน
ถ้าตาย หรือ บาดเจ็บ ขึ้นมา
รับรองญาติพี่น้องโผล่ขึ้นมาเต็ม
เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายแน่นอน
แต่ไม่สนใจใยดีแต่อย่างใด
ตอนคนนี้มาตีลังกากลางถนน
สุดท้าย ทราบช่าวว่ารถเฉี่ยวชนตาย
แต่จับกุมรถผู้ต้องหาไม่ได้
สรุปว่า ตายฟรี
.

.
ลุงใบ้หวย

รายนี้ชอบเดินข้ามถนนไปมา
ตรงสายศุภสารรังสรรค์
ค่อนข้างมีอายุพอสมควร จัดว่า แก่
บางครั้งก็ตะโกนบอกเบอร์หวย
มีคนได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
คนได้มักจะให้รางวัลตอบแทนกับแก
สุดท้ายถูกรถยนต์ชนตายตอนหัวค่ำ
คนถูกหวยพอรู้จักแกก็ไปทำบุญให้
ไม่มีใครรู้ว่าญาติพี่น้องอยู่หนใด

ที่บ้านทุ่งหาดใหญ่ มีหวยให้เล่นทุกวัน
เช่น หวยเขมร หวยมาเลย์ หวยหุ้น 24-36 ตัว
นายเพา(เจ้ามือ) มีทุกระดับทุกหวย
รับแทงตั้งแต่ระดับรากหญ้า
บาท/ห้าบาทถึงหลักแสนบาท

ถนนศุภสารรังสรรค์
ตั้งตามชื่อ ขุนศุภสารรังสรรค์
ผู้รับเหมาก่อสร้างทางรถไฟสายใต้
เป็นเศรษฐีมาจากชวา (อินโดนึเซีย)
ดินแดนคนจีนร่ำรวยที่นั้นหลายคน
ชื่อจีนคือ ชียุกหลั่น พ่อชีกิมหยง
เศรษฐีใจบุญให้ที่ดินตั้งโรงเรียนสองแห่ง
ศรีนคร กับ แสงทองวิทยา
มัศยิดปากีสถาน และคริสตจักรคริสเตียน
มูลค่าประเมินที่ดินที่ท่านมอบให้
ประมาณกันว่าทุกวันนี้ราวสองพันล้านบาท
.


.
นักเต้นข้างเสาไฟ

ทุก ๆ เช้า
มีชายวัยรุ่นหน้าตาดี แต่งกายเรียบร้อย
เดินออกจากแถวบ้านพักคนงานรถไฟ
ไม่แน่ใจว่ามาจากอีกฝั่งหรือไม่
ฝั่งวัดปลักกลิมในติดเขตรถไฟ
มีชุมชมแออัดอยู่จำนวนหนึ่ง

แต่พอสักช่วงเที่ยง
แกมักจะยืนเต้นตรงข้างเสาไฟฟ้า
เรียกว่า จัดเต็มที่ จ้างหลักร้อย เต้นหลักหมื่น
เต้นจนเหงื่อโชก และเสื้อผ้าสกปรก
ไม่มีอาการคุกคามคนมองหรือดูแต่อย่างใด
พอเหนื่อยหนักแล้วก็เดินกลับบ้านพักทุกค่ำ

ต่อมา ก็หายหน้าไปจากแถวบ้าน
มีข่าวว่ารักษาตัวหายแล้ว
ญาติพี่น้องพาไปอยู่ต่างจังหวัด
เพราะเคยเห็นแกเดินไปมาไม่เต้นแล้ว
ตอนแกเดินผ่านแถวบ้านราว 2-3 ครั้ง
.
.

สาวทรานซินเตอร์

มีสตรีชาวไทยผิวดำรายหนึ่ง
ชอบตะโกนโหวกเหวกดังลั่นถนน
พูดจาโต้ตอบกับตนเองประจำ
บางวันก็นำวิทยุรุ่นโบราณ ธานินทร์
ขนาดกล่องพัสดุสี่เอ แนบหู เดินไปมา

มีช่วงหนึ่งอาการดีขึ้นบ้าง
ก็นำลอตเตอรี่ออกมาเร่ขาย
ชาวบ้านก็เวทนาช่วยซื้อหวยแกบ้าง
บางวันแกก็มีอาการอีก เลยไม่ได้ขาย

ต่อมาก็หายหน้าไปจากแถวบ้าน
นาน ๆ จะมีคนเจอแกขายหวย
แถวตลาดเฉลิมไทย (ชีกิมหยง)
แกน่าจะมีอาการดีขึ้นบ้างแล้ว
.


.
สุริยา คนกินแดด

รายนี้เป็นน้าชายของเพื่อนคนหนึ่ง
ครอบครัวทำธุรกิจรับขุดบ่อน้ำบาดาล
ระดับแนวหน้าของบ้านทุ่งหาดใหญ่
แกมีอาการเพราะตกจากรถตุ๊ก ๆ
จนเพี้ยนไปจากเดิมมากกว่าเก่า
แรก ๆ ก็ชอบนั่งมองดวงตะวัน
แล้วอ้าปากงับดวงตะวันประจำ
แกบอกว่า กำลังกินแสงแดด
เลยมีฉายาว่า สุริยา

รายนึ้แรก ๆ ญาติพี่น้องก็ดูแล
ต่อมาก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
เพราะแกไม่ยอมกลับบ้านแต่อย่างใด
เจอครั้งสุดท้ายแกนอนหน้าบ้านหลังหนึ่ง
เป็นร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟสายสี่
(ถนนเสน่หานุสรณ์ เป็นร้านรุ่นน้องแสงทอง)

ก่อนนอนแกจะวางข้าวของ เทียนไข ไฟแช็ค
วางไว้รอบตัวสองด้านก่อนนอนบนฟุตบาท
ไม่ให้คนเดินเฉียดผ่านหรือมองแก
สุดท้ายทราบข่าวว่าตายกับโควิท 19
อายุยืนเหมือนกันร่วม 60 ปีกว่า
หลังจากมีอาการมานานกว่า 30 ปึ
.
.
.

.
.

กาลิเลโอ

รายนี้ชีวิตรันทดพอสมควร
มีข่าวเล่าว่า เป็นทายาทเศรษฐีรายหนึ่ง
แต่สุดท้ายถูกญาติพี่น้องโกงจนหมดตัว
แกเลยเครียดจัด เก๊กซิมซี่ (กลุ้มใจหนัก)
จนเกิดอาการทางประสาท พูดไม่ได้
(ภาษาแต้จิ๋ว เก๊กซี่ เครียดจนเกร็ง/จนตาย)
ขาเกร็งทั้งสองข้าง ยึดไม่ได้ งอเข่าไม่ได้
เวลาจะนอน หรือ นั่ง จะพิงด้านหลัง
ค่อย ๆ เอามือยัน ไถลลงไปจนนอนได้
เวลาจะลุกขึ้นยืนก็ทำแบบเดียวกัน
ที่ทราบเพราะแกมานอนแถวหน้าบ้านบ่อย ๆ
บางทีก็หายไปนานวันก่อนกลับมานอนอีก

รายนี้จะไม่เคยเอ่ยปากขอทาน
จะยืนนิ่ง ๆ หน้าร้านอาหาร
หรือหน้าบ้านบางคน ที่เคยให้ทานแก
ชาวบ้านที่รู้จะให้ทานแกหรือให้ข้าวแก
บางครั้งแกก็ล้วงเงินที่รับมาให้ร้านค้า
แกก็จะใช้มือเปิบข้าวกินแล้วเช็ดกับเสื้อผ้า
บางครั้ง เสื้อผ้าแกก็ดูสะอาด
น่าจะผ่านการซักจากทึ่ไหนสักแห่ง
เช่น ตามปั้มมัน(น้ำมัน) คลองสวยน้ำใส

แกไว้หนวดไว้เครามีสีขาวโพลน
เสื้อผ้าแกมีสีขาวหม่นกับโสร่งสีขาว
เห็นชุดแบบนี้มานานหลายปีมาก
ตั้งแต่จขกท. อยู่ชั้นมัธยมจนจบมาทำงาน
คาดว่าแกน่าจะตายช่วงก่อนปี 2540
คนในธนาคารทิดพาไน (คำผวน)
และชาวบ้านร้านถิ่นเรียกแกว่า กาลิเลโอ
เพราะหน้าผากแกกว้างมาก
ไว้หนวด เครา เส้นผมสีขาว
โหงวเฮ้งแบบนึ้คนจีนบอกว่า
คนหัวโต หน้าผากกว้าง
มักจะเป็นคนครุ่นคิด คนฉลาด
ตามตำนานทายทักของคนจีนโบราณ
หน้าตาแกมองเผิน ๆ ก็คล้าย กาลิเลโอ

กาลิเลโอชอบเดินมาก มีคนเห็นบ่อย ๆ
ทั้งที่วิธีเดินของแกคือ ก้าวไปทีละก้าว
แบบงอเข่าไม่ได้เลยเหมือนคนทั่วไป
ถ้าเป็นนวนิยายจีนก็น่าจะเหมือน โป้วอังเสาะ
นักฆ่าชุดดำของ โกวเล้ง ที่ชอบเดินลากขา
แต่แกเดินแบบขาตั้งตรง งอเข่าไม่ได้
เขยิบไดัแบบเดินไปข้างหน้าทีละข้าง

มีคนเห็นแกเดินไปกลับสงขลา หาดใหญ่
ปาดังเบซาร์ หาดใหญ่ ตรัง หาดใหญ่
(จขกท.เคยเห็นแกเดินไป
สะเดา กับ สงขลา ราวครั้งสองครั้ง)
เดินไปกลับแต่ละครั้งเรียกว่า
ข้ามวันข้ามคืนกันเลย
จนเป็นที่กล่าวขานกันว่า
แกคงไปดูสมบัติเก่าครอบครัวแก
เท่าที่แกคงพอจำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง

สุดท้ายทราบข่าวว่า
กาลิเลโอตกไหล่เขาตายที่แถวตรัง
และอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น
ไม่ปรากฏชื่อว่าชื่ออะไร เป็นใครกันแน่
แต่รู้ว่าคงเป็นแกแน่
เพราะชาวบ้านเล่าลือกันล่วงหน้าแล้ว
ก่อนที่จะลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น

ช่วงก่อนปี 2540
หนังสือพิมพ์ทัองถิ่นแถวบ้านทุ่งหาดใหญ่
มักจะออกรายปักษ์ รายเดือน รายสะดวก
ส่วนมากบรรณาธิการหนังสือพิมพ์
มักจะเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ส่วนกลาง
เช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวสด ฯลฯ

รายได้หลักประจำปีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น
มักจะมาจากการลงโฆษณา/ขอสปอนเซอร์
วันเฉลิมพระชนม์พรรษาในหลวงและราชินี
นึ่คือ รายได้เป็นกอบเป็นกำ

ทุกวันนึ้ยังมีอยู่บ้าง แต่มีน้อยฉบับมาก
มักจะไปขอตามหน่วยงานใหญ่ ๆ
เพราะสำนักพิมพ์หลายเจ้า
ต่างล่มสลายไปช่วงหลังปี 2540
วิกฤติการณ์ต้มยำกุ้งของไทย
กับการมาของสื่ออนไลน์ Line Facebook

หมายเหตุ

สุริยาเคยทะเลาะวิวาท/ต่อยกาลิเลโอ
มันบอกว่า กวนตีxมัน ด่าแม่มัน
ชาวบ้านต้องแยกตัวออกมากันชุลมุน
แล้วด่า ไอสุริยาว่า มึxบ้า นักแรง (ทำเกินไป)

กาลิเลโอไม่เคยพูดกับใครเลย
อย่างเก่งก็ฮึมฮัมในลำคอ
สรุป สุริยา น่าจะบ้าจริง

.

.

เจ็กคำนับศพ

มีชายชราจีนขาขวาพิการ
ถือไม้เท้ามีที่จับตรงกลางไม้เท้า
มีที่ค้ำยันรักแร้ขาข้างขวา
(ไม้เท้าคนป่วยตามโรงพยาบาล)
แกมักจะนุ่งขาสั้น เสื้อผ้าด่างดำไม่สะอาด
มักจะเดินไปมาในหาดใหญ่หลายสาย
แต่จุดหมายปลายทางของแก
มักจะเป็นงานศพคนจีนทึ่เซึ่ยงตึ้ง  อนาถา
ที่มักจะมีอาหารเหลือแทบทุกวัน
กับมีงานศพเกือบทุกวัน

มีบางวันที่ฌาปนกิจสถานคนจีน
ไร้ศพมาตั้ง แต่อย่างเก่งก็ไม่เกิน 1 วัน
(มันเป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน มันแปลกดีนะ)
ทึ่ทราบเพราะขับรถผ่านบ่อย

แกมักจะร่วมงานศพคนจีนในวันสุดท้าย
เพื่อโค้งคำนับศพผู้วายชนม์สามครั้ง
โดยยืนร่วมกับแขกรายอื่น ๆ ของเจ้าภาพ
มักจะยืนตรงแถวหลัง ๆ แล้ว
แถวแรก ๆ มักจะคนมีฐานะ มีตำแหน่ง
โดยยืนแถวตอน หลายแถวมาก

ธรรมเนียมคำนับศพของคนจีนแต้จิ๋ว
แสดงการไว้อาลัยอย่างสุดซึ้ง
โดยมีคนกล่าวนำนับ อิจิกง ไป่จิกง ซำจิกง
(คำนับครั้งที่หนึ่ง คำนับครั้งที่สอง คำนับครั้งที่สาม)
เป็นการเสร็จพิธีอำลาคนตาย
ก่อนออกศพไปสุสาน (ไม่ฝังก็เผา)
แล้วแกจะรับห่ออาหารที่เหลือไปกิน
บางครั้งก็ได้รับเศษทานจากเจ้าภาพ/คนรู้จัก

อดีตแกเป็นเสมียนร้านค้าแห่งหนึ่ง
ประสพอุบัติเหตุจนขาขวาพิการ
ตัองรักษาอยู่นาน เลยถูกไล่ออก
เถ้าแก่หลายคนพอรู้จักแกบ้าง
เคยเห็นหน้าค่าตาแกบ้าง
ตามคำบอกเล่าของแม่ จขกท.

แกมาเดินร่อนเร่หากินตามงานศพคนจีน
ตอนงานศพพ่อ จขกท. แกก็มาคำนับศพด้วย
ต่อมา แกก็ไปตามงานศพคนไทยตามวัดต่าง ๆ
เพื่อหารายได้เล็กน้อยและห่ออาหารยังชีพ
แกไม่มีหลักแหล่งที่พักแน่นอน
มักแอบนอนตามสถานที่ต่าง ๆ

บางครั้งจขกท.เจอแกตามทัองถนน
ก็มักจะยัดเบี้ยให้แกครั้งละ 100 บาท
เพราะเวทนาอายุมาก/คนคุ้นเคยหน้าตา
แกก็มักจะปฏิเสธ หม่ายนา ๆ (ไม่นะ ๆ)
และยื้อตัวไม่ยอมรับเบึ้ยจาก จขกท.
จนคนผ่านไปมามักจะมองแปลก ๆ

ก่อนปี 2535 แกก็หายไปจากท้องถนน
ถ้าไม่ตายก็อยู่ในสถานสงเคราะห์คนอนาถา
ที่ห้ามคนข้างในออกมาเร่ร่อนขอทาน
แต่จขกท. เดาว่าน่าจะไปพบเพื่อนเก่าแล้ว
และคงเผาศพลอยอังคารไปแล้ว
แบบคนไร้บ้านไร้ญาติหลายคนที่ทราบกัน
.
.

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
ท่านเคยเทศน์ว่า
คนบ้ามักจะต้องเดินไปมา
เดินจนเหนื่อยนักก็พักก่อน
เพราะถ้าร่างกายอ่อนเพลีย
ล้มตัวลงนอนสมองจะไม่ครุ่นคิด

คนรวยหลายคนเวลากลุ้มใจ
มักจะออกกำลังกายหรือเดินไปมา
เดินจนเหนื่อยล้าก็จะล้มตัวลงนอน
บางทีก็คิดวิธีแก้ไขได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ
ก่อนเลือนหายไปจากห้วงคำนึง
คนไร้บ้านหลายคนที่ผ่านพบมาในอดีต
.
.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่